วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เสริมสวยจากธรรมชาติ


- ผลไม้สดตามฤดูกาล เช่น แตงโม มะม่วง มะละกอ ถ้านำเอาเนื้อมาใส่โถปั่น ปั่นให้ละเอียด ใช้ลูบไล้ตามผิวหน้าจะทำให้ผิวชุ่มชื่นและเต่งตึงขึ้น มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับโลชั่นสมานผิว
- สตรอเบอรี่สด 5 ผล ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ กลีเซอรีน 1 ช้อนโต๊ะ ใส่โถปั่น ใช้นวดผมหลังจากสระแล้ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก จะช่วยให้ผมที่แห้งเพราะแดดลมกลับนุ่มเป็นเงางาม ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำมันหล่อเลี้ยงเส้นผม และมีกลิ่นหอมด้วย
- ลิ้นจี่ 10 ผล ปอกเปลือก คว้านเมล็ดออก เอาเนื้อลิ้นจี่ใส่โถปั่น คั้นเอาน้ำ เติมเกลือ น้ำเชื่อม ใส่น้ำแข็งทุบก้อนเล็กๆ หรือจะใส่ถ้วยแก้วเก็บไว้ในตู้เย็น ส่วนกากเนื้อลิ้นจี่ที่ได้จากการปั่น กรองเอาน้ำออกแล้วปั้นนำมาพอกหน้า สัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะรู้สึกทันทีเลยว่า ผิวหน้าตึง และเปล่งปลั่งขึ้น
- เมล็ดแตงหอม, เมล็ดฟักทอง, บวบ, แตงกวา ตากแห้งใส่เครื่องปั่นเป็นผง ผสมน้ำพอเหลว พอกหน้าแทนยาพอกหน้า ผิวหน้าจะนุ่มเนียนและละไม
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ล้างหน้า ผิวหน้าจะสะอาด แทนโลชั่นบำรุงผิว เหมาะสำหรับคนผิวแห้ง
- น้ำคั้นจาก แตงหอมแคนตาลู้ป ผสม น้ำผึ้ง ทาผิวหน้า จะช่วยลอกหนังกำพร้าที่แห้งเป็นขุย ถ้าผสมกับ น้ำอัลมอนด์ เล็กน้อย ใช้ลอกหน้าได้เช่นเดียวกับน้ำยาลอกหน้า
ผลไม้ นอกจากรับประทานอร่อย มีประโยชน์ต่อร่างกายเพราะมีสารอาหารและวิตามิน นอกจากนี้ยังนำมาช่วยเสริมสวยได้ด้วย สำหรับผู้นิยมการทดลองเสริมความงามด้วยตนเอง มีผลไม้มากเหลือเกิน จะใช้ทดลองดังนี้
- นำเอา เปลือกแตงโม มาใส่เครื่องปั่น กรองเอาแต่น้ำ ใช้ล้างหน้า แล้วปล่อยทิ้งไว้ 15 นาที จึงล้างออก ลดความมันบนผิวหน้า มีคุณค่าเทียบได้กับแอสตริงเจ้น
- ตัก เนื้อแตงโม เป็นชิ้นๆ วางบนใบหน้าขณะนอนพัก ทิ้งไว้ประมาณ 15 ถึง 20 นาที จะช่วยให้ผิวนุ่ม รู้สึกผิวหน้าสดชื่นขึ้น
- นำ เนื้อแตงโม แตงกวา เนื้อฟักทอง อย่างละประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ เข้าเครื่องปั่นรวมกัน ใช้พอกหน้า ทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทำให้ผิวสะอาด เหมาะสำหรับคนผิวหน้าแห้ง
- ใช้ เนื้อแตงโม 2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้ง 1-2 หยด และน้ำมันพืช 3-4 หยด ผสมให้เข้ากัน ใช้ทาผิวและลำคอ นวดให้ทั่วจนรู้สึกว่าส่วนผสมนี้ซึมเข้าในผิวหนัง แล้วล้างอก ช่วยลอกผิวที่แห้งแตกเป็นขุยให้หลุดออก
- นำเอา สตรอเบอรี่ มาใส่ชาม ตีด้วยส้อมให้เละ นำมาพอหน้าให้ทั่ว แล้วนอนพักสัก 15 นาที สารที่มีประโยชน์จะซึมเข้าสู่ใต้ผิวหนัง ช่วยให้หน้าหายมัน เหมาะกับคนที่เป็นสิว ฝ้า หน้าตกกระ เพราะในเนื้อสตรอเบอรี่มีสารบางชนิดที่ช่วยทำให้ผิวหน้าตึงเต่งขาวสดใส ทำให้ผิวหน้ามีเลือดฝาดสมบูรณ์
- ทำครีมทาหน้าจาก สตรอเบอรี่ ใช้น้ำมันลาโนลิน (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือ น้ำมันพืช 3 ส่วน น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่ 2 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น เฉพาะลาโนลินกับน้ำมัน พอละลายยกออกมาทิ้งไว้ให้เย็น แล้วจึงค่อยๆ ผสมสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อย ตีด้วยส้อมแรงๆ ให้เข้าเป็นเนื้อเดียว ถ้าทำใช้เพียง 5-6 วัน ก็เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนหมด ถ้าต้องการเก็บไว้ใช้นานๆ เหมือนครีมบำรุงผิวจากกระปุก ให้ผสมน้ำมันวีทเจิร์ม (ซื้อที่ร้านขายยา) 1 ส่วน ในส่วนผสมเดิม 10 ส่วน เติมวิตามินอี เทออกจาแคปซูล 4 เม็ด เก็บไว้ใช้ได้นาน
- ผิวแห้งหยาบ แตก เป็นริ้วรอย ริมขอบตามีรอยตีนกา มีสิวฝ้าบริเวณใบหน้า สามารถใช้ เนื้อมะม่วงสุก ยีจนเละ พอกหน้าเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที น้ำมะม่วงที่เหลือที่เหลือให้นำมาทาข้อศอก ลำคอ หลังมือ แล้วจึงอาบน้ำชำระล้างให้สะอาด ผิวจะนุ่มนวลจนผิดสังเกต
- ส้มเขียวหวาน 1 ผล แตงกวา 1 ผล คั้นเอาแต่น้ำ น้ำกุหลาบ 3 ช้อนหวาน แอลกอฮอล์ 2 ช้อนหวาน เขย่าให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียวกัน ทาให้ทั่วผิวหน้า แล้วใช้กระดาษทิชชูเช็ดออก เก็บไว้ในตู้เย็นใช้จนกว่าจะหมด จะช่วยการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ผิวหนังเต่งตึงสะอาด
- นำเอา แตงกวา 3 ลูก หั่นแล้วใส่โถ ปั่นจนเละ คั้นเอาแต่น้ำทา บำรุงผิวอย่างดี
เสริมสวยจากธรรมชาติ มีวิธีการที่ใช้ของใช้ของกินมาบำรุงบำเรอโฉม ซึ่งเชื่อกันว่าจะสามารถให้ผลได้ และทำเองได้หลายชนิดด้วยกัน ตัวอย่างดังนี้
- ใช้ นมเปรี้ยว ทำให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้านุ่มเนียนละมุน
- โยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ นมเปรี้ยว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำนมสด 1 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ใส่แก้วคนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้วไว้ให้แห้ง แล้วล้างออก ผิวจะเต่งตึง และช่วยแก้ปัญหาสิวบนใบหน้า
- ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นมสด 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็นจะทำให้ผิวหน้าสดชื่น
- ขี้ผึ้ง 2 ส่วน กลีเซอรีน 2 ส่วน น้ำกุหลาบ 1 ส่วน ผสมกันแล้วใส่ภาชนะที่มีฝาปิด เก็บไว้ในตู้เย็น ใช้ทาผิวหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น ช่วยลบรอยย่นบนใบหน้า ช่วยให้ผิวหน้าสวยตามธรรมชาติ และช่วยไม่ให้ผิวหน้าแห้ง
- ใช้แปรงขนตาจุ่มน้ำละหุ่ง ปัดขนตาเสมอ แล้วทาขนตาด้วยลาโนลิน หรือน้ำมันที่ทำจากไขสัตว์ จะช่วยให้ขนตายาว
- ทำครีมพอกหน้าด้วยสตรอเบอรี่ น้ำคั้นจากสตรอเบอรี่สด 2 ส่วน น้ำมันลาโนลิน 1 ส่วน น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันพืช 3 ส่วน ใส่ในหม้อ 2 ชั้น (หม้อตุ๋น) ตั้งไฟให้เดือด พอลาโนลินกับน้ำมันละลาย ยกออกทิ้งไว้ให้เย็น ค่อยๆ ผสมน้ำสตรอเบอรี่ลงไปทีละน้อยๆ ตีแรงๆ ให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียว ถ้าต้องการเก็บไว้นาน ผสมน้ำยาวีทเจิร์ม 1 ส่วนในส่วนผสมที่ทำ 10 ส่วน เติมวิตามินอีที่เทออกจากแคปซูล 4 แคปซูล เพื่อช่วยบำรุงผิว ใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มนวล
- ใช้แตงกวาฝานบางๆ ปิดลงบนเปลือกตา ใต้ขอบตา หลับตาประมาณ 2-3 นาที จะช่วยให้บริเวณดวงตาสดชื่นขึ้น
- ผมจะสวยดกดำ ถ้าบำรุงด้วยไข่แดงผสมน้ำมันมะกอก ละเลงให้ทั่วศีรษะ แล้วสระผมให้สะอาด
- ใช้น้ำมันมะกรูดสระผม จะช่วยป้องกันผมร่วง ผ่ามะกรูดซึ่งอังไฟให้ร้อน แล้วใช้น้ำมะกรูดนวดศีรษะ ทิ้งไว้สักครู่ แล้วจึงล้างออก
- ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่ม จุ่มน้ำอุ่น บิดพอหมาด วางทาบลงบนใบหน้าเพื่อเปิดรูขุมขน นำน้ำมะนาว 1 ช้อนชา นมเปรี้ยว 1/2 ถ้วยตวง น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกัน ทาหน้า ตั้งแต่หน้าผากลงมาจึนถึงจมูกเป็นรูปตัวที และบริเวณที่มีความมันมากๆ ทิ้งไว้ประมาณ 1 นาที แล้วล้างด้วยน้ำอุ่น ต่อจากนั้นก็ใช้น้ำเย็นล้างออก เพื่อเป็นการปิดรูขุมขน
- ผู้ที่มีผิวหน้าแห้ง ให้ใช้กล้วยสุก 1 ผล ตีจนเละ ใช้พอกหน้า 10 นาที แล้วล้างให้สะอาด จะทำให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้น
- กล้วยสุกที่ยีจนเละ ผสมน้ำมันมะกอกหรือน้ำมันถั่ว พอเหลว ใช้ทาผิว คุณภาพเป็นครีมบำรุงผิว แล้วอาบน้ำ ล้างให้สะอาด
ที่มา

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สาระน่ารู้ของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ




สาระน่ารู้ของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ มีดังนี้
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งที่จะส่งเสริมสุขภาพป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสภาพร่างกายที่ประหยัดและมีประสิทธิภาพ สามารถปฏิบัติได้ทุกคนและทุกสภาพร่างกาย ถ้าปฏิบัติไม่ถูกวิธีและไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย ก็อาจเป็นอันตายต่อสุขภาพและร่างกายได้เช่นกันฉะนั้นจึงควรคำนึงและเรียนรู้ว่าการออกกำลังกายนานและหนักเท่าไร จึงจะพอเพียงที่จะให้ผลดีต่อสุขภาพการออกกำลังกายที่จะมีผลต่อสุขภาพนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรัสว่า“การออกกำลังกายนั้น ทำน้อยเกินไปร่างกายและจิตใจก็จะเฉา และทำมากเกินไปร่างกายและจิตใจก็จะช้ำ” ดังนั้นการออกกำลังกายควรทำให้พอดี โดยยึดหลัก 3 ประการ คือความบ่อย ควรออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละครั้งความหนัก ควรออกกำลังกายให้มีอาการเหนื่อย หอบ แต่สามารถพูดคุยได้ ถือว่าหนักหรือเหนื่อยพอดีความนาน เพียงครั้งละอย่างน้อย 20-30 นาที
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการออกกำลังกาย เช่น เดินเร็ว ต้องใช้เวลานานกว่าวิ่งเหยาะ และวิ่งเหยาะใช้เวลานานกว่ากระโดดเชือก และยังขึ้นกับร่างกายของท่านว่า มีความแข็งแรงที่จะออกกำลังกายได้นานเพียงใดประโยชน์ของการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพประโยชน์ที่ได้รับจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสม จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง สามารถป้องกัน รักษา และฟื้นฟูสภาพร่างกายได้
โดยทั่วไปแล้วจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย คือสุขภาพทั่วไปแข็งแรง การเจริญเติบโตในวัยเด็กจะดีช่วยให้สูงขึ้นเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ความคิดแจ่มใส หัวใจและปอดแข็งแรงขึ้นความดันโลหิตลดลง เส้นเลือดมีขนาดใหญ่ขึ้น โอกาสจะถูกอุดตันน้อยลงลดระดับไขมันในเส้นเลือด. ป้องกันโรคเบาหวานได้ ชีพจรลดลงลดและช่วยแก้อารมณ์เศร้า, ความเครียด ระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายดีขึ้นกรณีต้องการลดน้ำหนัก
การออกกำลังกายควบคู่กับการควบคุมอาหาร สามารถช่วยได้เมื่อออกกำลังกายติดต่อกันประมาณ 15-20 นาทีขึ้นไปร่างกายจะหลั่งสารเอนดอรฟีนออกมาทำให้จิตใจสบาย ออกซิเจนไปเลี้ยงทุกส่วนของร่างกายและจิตใจทำให้หลับสนิทและหลับนานข้อควรระวังในการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันจะเป็น การส่งเสริมสุขภาพให้ร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ทั้งนี้ ต้องมีความเหมาะสมทั้งวิธีการออกกำลังกาย
การออกกำลังกายที่ไม่เหมาะสมก็อาจให้โทษได้เช่นกัน จึงมีข้อควรระวังดังนี้ควรออกกำลังกายให้เหมาะสมกับอายุ เพศ และสภาพร่างกาย เช่น คนสูงอายุการเดินเร็ว ๆ ดีที่สุด คนวัยทำงานการวิ่งเหยาะ ๆ สามารถทำได้ง่ายและประหยัด เด็กการวิ่งเล่นเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด เป็นต้น ยกเว้นกรณีการเจ็บป่วย พิการ การออกกำลังกายก็สามารถทำได้เช่นกัน แต่ควรเป็นรูปแบบเฉพาะแล้วแต่กรณีควรออกกำลังกายให้ถูกเวลา เช่น เช้า เย็น หรือค่ำ ไม่ควรออกกำลังกายในเวลาที่มีอากาศร้อนจัด จะทำให้ไม่สบายได้ และควรออกกำลังกายก่อนอาหาร หรือหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
ไม่ควรออกกำลังกายเวลาที่ไม่สบาย เป็นไข้ เพราะอาจจะทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ หรือเวลาที่ท้องเสีย เพราะร่างกายจะขาดน้ำหรือเกลือแร่ทำให้อ่อนเพลีย เป็นลม เป็นตะคริว หรือโรคหัวใจได้ก่อนและหลังการออกกำลังกายทุกครั้ง ควรอบอุ่นร่างกาย และผ่อนคลายร่างกาย เพราะจะช่วยลดอัตราเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บและช่วยทำให้อาการเมื่อยล้าหายได้เร็วขึ้นการเลือกใช้อุปกรณ์ในการออกกำลังกายให้เหมาะสม เช่น ไม่สวมรองเท้าหนัง หรือรองเท้าแตะ หรือไม่สวมรองเท้า ในขณะออกกำลังกาย ควรสวมรองเท้าผ้าใบเพราะจะช่วยให้เกิดการยืดหยุ่นได้ในขณะออกกำลังกาย และยังช่วยลดแรงกระแทกขณะออกกำลังกายได้อีกด้ว
สื้อผ้าที่สวมใส่ขณะออกกำลังกาย ควรเป็นเสื้อผ้าที่ยืดหยุ่นได้ ระบายความร้อนได้ดี เช่นผ้าฝ้ายในขณะออกกำลังกาย งดสูบบุหรี่ หรือดื่มสุรา เพราะแอลกอฮอล์เป็นยาขับปัสสาวะ ซึ่งจะทำให้ร่างกายขาดน้ำมากยิ่งขึ้น ต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมที่จะทำให้ร่างกายได้รับอันตรายได้ง่ายเมื่อมีอาการเตือนที่แสดงว่าเริ่มมีอันตราย ควรหยุดออกกำลังกายทันที โดยไม่ฝืน เช่น เวียนศรีษะ เจ็บแน่นหน้าอก หายใจขัดผู้มีอายุวัยกลางคนขึ้นไป (40 ปี) ควรต้องได้รับการตรวจสุขภาพรวมทั้งการทดสอบ การออกกำลังกายก่อนสำหรับผู้สูงอายุ (อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป) ควรระมัดระวังมากกว่าคนอายุน้อย โดยเริ่มออกกำลังกายที่เบามากก่อน ส่วนการเพิ่มความหนักนั้นต้องเพิ่มช้ากว่าคนอายุน้อยการบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรือ เล่นกีฬาเกิดขึ้นได้เสมอ การปฐมพยาบาลและการรักษาเป็นเรื่องสำคัญมาก
ตัวอย่างการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ เพื่อให้ได้ผลทางการเสริมสร้างความสมบูรณ์ของร่างกายด้านความอดทนของปอด หัวใจ และระบบไหวเวียนเลือด รวมทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและความอ่อนตัวของข้อต่อ ควรฝึกกิจกรรมเหล่านี้ให้ต่อเนื่องกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ๆ ละครั้ง ๆ ละอย่างน้อย 20 นาที ไม่ควรเกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งมีตัวอย่างการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ดังนี้เดินเร็ว ๆ หรือวิ่งเหยาะอย่างน้อยวันละ 30 นาที / วิ่งอย่างน้อยวันละ 20 นาทีถีบจักรยานอย่างน้อยวันละ 20 นาที / เต้นแอโรบิกอย่างน้อยวันละ 20 นาทีการว่ายน้ำหรือการบริหารในน้ำอย่างน้อยวันละ 20 นาทีเล่นกีฬาอย่างน้อยวันละ 30 นาที / กายบริหารในผู้สูงอายุอย่างน้อยวันละ 40 นาที
ที่มา

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สุขภาพจิตดี…มีชัยไปกว่าครึ่ง












การมีสุขภาพจิตดีมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เช่นเดียวกับการมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง การมีสุขภาพจิตดีนั้นไม่ใช่แค่การที่ไม่เป็นโรคทางจิตแต่หมายถึงการมีความสุขในการใช้ชีวิตประจำวัน มีความสุขกับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวรวมถึงการมีความสุขที่ได้พบปะกับผู้คนต่างๆ รอบตัวด้วย ถ้าเราเป็นผู้มีสุขภาพจิตดีจะส่งเสริมให้เรามีความคิดที่สร้างสรรค์ สามารถเผชิญหรือแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตได้ดี
แต่ในบางครั้งในชีวิตของเราก็อาจเจอะเจอกับความเศร้าจากเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป การตกงาน การสูญเสียทรัพย์สินที่หวงแหน ปัญหาความสัมพันธ์ที่เกี่ยวกับบุคคลที่รักและใกล้ชิด แต่ถ้าเรามีสุขภาพจิตดีเป็นพื้นฐานก็จะสามารถแก้ไขปัญหาหนักๆ เหล่านั้นได้ และสามารถกลับมามีความสุขอีกครั้งในระยะเวลาที่ไม่นานเกินไปนัก
กลยุทธ์ในการที่จะมีสุขภาพจิตที่แข็งแรง
1. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
2. ทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน แอลกอฮอล์ และหลีกเลี่ยงหรืองดสูบบุหรี่
4. การพักเพื่อผ่อนคลายในตอนกลางวัน โดยหลับตาและจินตนาการว่าได้ไปในสถานที่ที่เราชื่นชอบ อาจจะเป็นสวนดอกไม้ ทุ่งหญ้าสีเขียว หรือนึกถึงสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสดชื่นได้มากขึ้น หายใจเข้า ออกช้าๆ การพักผ่อนในตอนกลางวันอาจจะใช้เวลาประมาณ 10 -15 นาที
5. เรียนรู้ที่จะจัดการกับความคิดสำหรับปัญหาที่เข้ามารวมถึงเรื่องกังวลใจที่เกิดขึ้น บางครั้งเราไม่สามารถที่จะหยุดความคิดความกังวลได้แต่เราสามารถเบี่ยงเบนความคิดของเราได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรในขณะที่เกิดปัญหานั้นๆ ก็ควรหยุดพักเพื่อที่จะมีเวลาได้คิดก็จะเป็นประโยชน์แล้วค่อยกลับไปเผชิญกับปัญหาใหม่อีกครั้ง
6. ในช่วงเวลาที่กำลังทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายอยู่ เช่น กำลังเดินเล่นพูดคุยกับเพื่องฝูงก็ควรใช้เวลาที่ผ่อนคลายนั้นอย่างเต็มที่ โดยการไม่ต้องนึกถึงเรื่องงานหรือปัญหาหนักๆ ในชีวิต การปิดโทรศัพท์มือถือในช่วงเวลาที่พักผ่อนอยู่ก็เป็นวิธีที่ดีอีกวิธีหนึ่ง
7. การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ เช่น การไปที่สถานที่ออกกำลังกายเป็นกลุ่มจะลดความรู้สึกอ้างว้างที่ต้องอยู่คนเดียวลงได้ การมีกลุ่มเพื่อนไปร่วมกิจกรรมต่างๆ นั้นเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เรารู้สึกสนุกและมีความสุขได้เป็นอย่างดี
8. มีงานอดิเรกทำตามความชอบของเรา เช่น การวาดรูป การอ่านหนังสือ การฟังเพลง ก็เป็นการผ่อนคลายร่างกายและอารมณ์ และยังได้ประโยชน์ในการบริหารสมองอีกด้วย
9. ตั้งจุดหมายในชีวิตที่เป็นไปได้ ถ้าเราสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายที่ตั้งไว้ก็จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย
10. สำหรับในวันที่เรารู้สึกเครียด เราอาจจะหาวิธีคลายเครียดโดยการหาเพื่อนที่ไว้ใจได้เพื่อพูดคุย
11. การรู้จักมีอารมณ์ขันและรู้จักแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ที่แฝงไว้ด้วยอารมณ์ขันให้กับเพื่อนฝูงก็จะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในหมู่เพื่อนฝูงหรือบุคคลใกล้ชิดซึ่งพลอยทำให้เรารู้สึกมีความสุขไปด้วย
12. การปรนนิบัติตัวเอง เช่น การทำอาหารแสนอร่อยให้ตัวเองในวันหยุดสุดสัปดาห์ การแช่น้ำอุ่น ที่มีกลิ่นหอมเพื่ออาบน้ำ การได้พูดคุยกับเพื่อนหรือญาติที่เราไม่ได้พบเจอกันมานานแล้ว การจัดดอกไม้ ทำกิจกรรมที่เราชื่นชอบและอยากทำ
ดังนั้นการมีสุขภาพจิตที่ดีจะทำให้เราสามารถควบคุมการแสดงออกได้อย่างเหมาะสม คิดแก้ปัญหาและตัดสินใจได้อย่างดี ทำให้เกิดความมั่นใจ ภูมิใจในตัวเอง รู้สึกดีกับตัวเอง รวมถึงทำให้ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างเป็นไปอย่างราบรื่น และยังมีส่วนทำให้ประสบความสำเร็จในชีวิตด้วย ประการสำคัญจะทำให้เราเป็นผู้ที่มองโลกในแง่บวก เป็นผู้ที่มีความสุขในชีวิตได้ง่าย


ที่มา
สนับสนุนข้อมูลโดย ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพไวทัลไลฟ์ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล
E-mail: infovitallife@bumrungrad.com




วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ



สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวังผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหารก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิวควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพหลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติกเพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรังหลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวมถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีนเครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตรายใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้าแสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่นถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศสำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหารสำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกมถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ที่มา
http://www.manager.co.th/MetroLife/ViewNews.aspx?NewsID=9510000079603

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาออกกำลังกายเพื่อสุขภาพกันค่ะ



คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

สุขภาพดีและมีความสุข แบบสาวสามวัย

สุขภาพดีและมีความสุขแบบสาวสามวัย (Lisa)
ผู้หญิงวัย 20+ ยังมีฮอร์โมนเพศเต็มเปี่ยม สุขภาพแข็งแรง ส่วนสาววัย 30+ สุขภาพเริ่มถดถอยเพราะความเครียด และสาววัย 40+ ต้องระวังสุขภาพให้ดี ดาราสาว สการ์เล็ตต์ โจแฮนัน ใส่ใจดูแลสุขภาพและเตรียมวางแผนสำหรับอนาคตตัวเองเมื่อมีวัยมากขึ้น เพื่อจะได้มีสุขภาพที่ดี และมีความสุขกับทุกวัยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี แล้วคุณล่ะคะ เตรียมสุขภาพร่างกายและจิตใจสำหรับอนาคตข้างหน้าหรือยัง ลองหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจกันตั้งแต่วันนี้ เพื่อคุณจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีความสุขไปนานๆ Lisa มีแบบทดสอบให้แก่สาววัย 20+ 30+ และ 40+ พร้อมข้อแนะนำในการดูแลสุขภาพ การออกกำลังกาย เพื่อพยุงความแข็งแรง และอ่อนเยาว์ไว้นานๆ
สาววัย 20+
สาวๆ วัยนี้มีร่างกายกระฉับกระเฉง มีกำลังวังชา และส่วนใหญ่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมนเพศ และเป็นวัยที่เริ่มสร้างอนาคตกับการทำงานหรือบางคนก็กำลังศึกษาเล่าเรียน เป็นวัยที่ยังไม่ค่อยมีเรื่องทุกข์กังวล หากต้องการคงความอ่อนเยาว์ไปนานๆ ก็ควรเตรียมตัวตั้งแต่วัยนี้ สิ่งสำคัญคือการสร้างมวลกล้ามเนื้อและมวลกระดูกให้หนาแน่น จึงควรออกกำลังกาย สม่ำเสมอ กีฬาที่เหมาะคือ Cross Training ออกกำลังหลากหลายชนิด เช่น จ็อกกิ้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน สเต็ปแอโรบิกในฟิตเนสสตูดิโอ หรือเล่นเทนนิสกับเพื่อนๆ แต่ไม่ควรออกกำลังอย่างหักโหมเพราะจะทำให้เกิดความเครียดมากกว่า หรือฝึกเล่นโยคะเพื่อลดความเครียด
นอกจากนี้ก็ควรรับประทานผักและผลไม้ให้มากในแต่ละวัน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว และทาโลชั่นกันแดดทุกวันก่อนออกจากบ้าน หลีกเลี่ยงแสงแดดแรงๆ (อาจกางร่ม หรือสวมเสื้อแขนยาวเมื่อออกนอกบ้าน) แต่ควรได้รับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าเพื่อเติมวิตามินดีให้ร่างกายแค่นี้คุณก็จะคงความสาวและสุขภาพดีไปนานๆ
สาววัย 30+
ผู้หญิงวัยนี้บางคนก็มีครอบครัว มีลูก ทำงานหาเลี้ยงชีพ ซึ่งทำให้เครียดอยู่บ่อยๆ แต่ผู้หญิงเป็นเพศ ที่แข็งแกร่ง จึงทำให้พวกเธอทนทานกับความกดดันได้ดีกว่าเพศชาย ไม่ว่าจะเป็นการดูแลลูกๆ การทำงานหาเลี้ยงชีพทั้งวัน ตกเย็นก็ต้องกลับมาดูแลครอบครัว และเมื่อเข้านอนก็ยังรู้สึกกังวลที่ยังจัดการธุระต่างๆ ไม่เสร็จสิ้นอย่างที่ตั้งใจ สิ่งเหล่านี้เป็นแรงกดดันให้ผู้หญิงเกิดความเครียดสะสม โดยผู้หญิงจะทนแรงกดดันได้ดีจนถึงวัย 35 แต่ถ้ายังมีความเครียดเรื้อรังก็จะส่งผลกระทบต่อร่างกายและจิตใจ นั่นคือมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ดิซอล (ฮอร์โมนแห่งความเครียด) อย่างต่อเนื่อง ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และอาจทำให้เป็นโรคซึมเศร้า มีปัญหานอนไม่หลับ ปวดศีรษะ และโรคเกี่ยวกับลำไส้มักเกิดขึ้น ระหว่างอายุ 30-40 ปี
นอกจากนี้ ความเครียดเรื้อรังก็เป็นตัวการเร่งกระบวนการความชราให้เร็วขึ้น โดยวัดได้จากส่วนปลายของโครโมโซม ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับนาฬิกาของเซลล์ร่างกาย และหากมีความเครียดเพิ่มมากขึ้นก็จะทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียดและทำให้ปวดหลัง คือ อย่างน้อยที่สุดหนึ่งในสามของคนไข้ที่ปวดหลัง ก็เนื่องมาจากจิตใจที่ส่งผลกระทบไปยังกระดูกสันหลัง โดยจะเห็นได้ชัดในผู้หญิงที่ขาดการดูแลและจัดการกับความเครียด รวมทั้งผู้ที่เป็นนักเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ หรือคนที่ทะเยอทะยานกับสิ่งที่ทำให้เป็นจริงได้ยาก ก็อาจทำให้เป็น Burnout Syndrome หรือป่วยเป็นโรคทางจิตเวชได้
ผู้หญิงวัย 40+
นาฬิกาชีวิตของสาววัย 40+ เริ่มเปลี่ยนไป เริ่มมีปัญหาข้อต่อ และการเผาผลาญพลังงานช้าลง หากรู้วิธีดูแลตัวเองก็จะช่วยยืดความชราออกไปได้ ผู้หญิงวัย 40 ในปัจจุบันที่ดูแลตัวเองดีก็จะมีความอ่อนเยาว์และกระฉับกระเฉงกว่าผู้หญิงวัย 40 ในสมัยก่อน ทั้งนี้ การเผาผลาญพลังงานของผู้หญิงในวัย 40+ เริ่มลดลงไปตามวัยที่มากขึ้น สาววัยนี้จึงยากที่จะรักษารูปร่างให้สะโอดสะองเหมือนเดิมได้
นอกจากนี้ก็เริ่มมีปัญหาข้อต่อและกระดูกสันหลัง และจะยิ่งมีอาการมากขึ้นเมื่อมีน้ำหนักที่เพิ่มมากขึ้นตามวัย หรือมีอาการบาดเจ็บของกระดูกอ่อน คือ ผู้หญิงส่วนใหญ่เมื่อเข้าสู่วัย 35 ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนน้อยลง และต่อมาฮอร์โมนเอสโตรเจนก็ลดลงตามมา กระบวนการเหล่านี้มีผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายเมื่อเข้าสู่วัย 40+ คือ นอนไม่หลับ ร้อนวูบวาบ นี่เป็นอาการของวัยทอง ซึ่งผู้หญิงบางคนอาจไม่มีอาการก็ได้ เมื่อร่างกายเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลให้ผู้หญิงรู้สึกกลัวการสูญเสียความเป็นผู้หญิง สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือผิวมีริ้วรอยย่นนั่นเอง
Tips
กระเทียมและหัวหอมใหญ่ป้องกันมะเร็งรังไข่ จากการศึกษาของ European Prospective Investigation into Cancer and Nutrition ได้ทำการศึกษาวิจัยอาหารการกินของผู้หญิงจำนวน 325,640 คน จาก 10 ประเทศในยุโรป พบว่าผู้หญิงที่กินกระเทียมและหัวหอมใหญ่เป็นประจำ จะสามารถป้องกันโรคมะเร็งรังไข่ได้ดีกว่า ผู้หญิงที่ไม่กินกระเทียมและหัวหอมใหญ่
ผู้หญิงที่ออกกำลังกายจะช่วยป้องกันโรคหัวใจ เนื่องจากผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ แต่เมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยทองและฮอร์โมนลดลง ก็จะทำให้การป้องกันโรคหัวใจจากธรรมชาติขาดหายไป ดังนั้น ผู้หญิงจึงควรหาเกราะป้องกันโรคหัวใจด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพราะจากการศึกษาของนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ได้ทำการศึกษาวิจัยกับผู้หญิง 90,000 คน พบว่า ผู้หญิงที่มีน้ำหนักตัวปกติ ออกกำลังกายมากกว่า 3.5 ชม. ต่อสัปดาห์ มีความเสี่ยงน้อยกับการเกิดโรคหัวใจ
ความอุ้ยอ้ายเป็นผลร้ายต่อสุขภาพของคนเป็นมะเร็งเต้านม ทั้งนี้ จากข้อมูลของสถาบันมะเร็งแห่งชาติแคนาดา พบว่า คนที่เป็นมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้นนม มักจะมีภาวะอ้วน และมีกิจกรรมน้อย (ใช้พลังงานน้อย) ทำให้เสียสุขภาพ และนำมาซึ่งการเป็นมะเร็งซ้ำ และคุณภาพชีวิตที่ต่ำ ฉะนั้น คุณจึงควรขยับร่างกายก่อนจะไม่มีร่างกายให้ขยับ


ที่มา
ภาพประกอบจาก glitter.kapook.com
http://women.kapook.com/health00180/